หมวดสินค้าหลัก

เทคนิคการสอบสัมภาษณ์

ครับก็อย่างที่พูดไว้ ในตอนที่แล้วว่า ในตอนนี้เราจะได้พูดถึงเรื่องการสอบสัมภาษณ์งาน แต่ก่อนอื่นเราก็ต้องทราบความหมายและวิธีการเสียก่อนดังนี้ครับ
การสอบสัมภาษณ์งาน (Job Interview) กระบวนการสุดท้าย ของการสมัครงาน ก็คือ การสอบสัมภาษณ์ หรือ "interview" ดังนั้น จึงอาจกล่าว ได้ว่าการสอบสัมภาษณ์ ถือเป็นกุญแจสำคัญ ในอันที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จ ของการสมัครงาน และในที่นี้ผู้เขียนได้รวบรวมคำถามและคำตอบ ที่พบเห็นอยู่บ่อยๆ ตามสากลนิยม และครอบคลุมหน่วยงานทุกสาขาวิชา ซึ่งโดยมากก็จะยึดคำถาม และคำตอบเหล่านี้เป็นหลักแทบทั้งสิ้น
คำนิยามของคำว่า "สัมภาษณ์" (Definition of interview)

คำว่า "interview" สืบความหมายมาจาก คำว่า "sight between" หรือ "view between" ดังนั้นคำว่า "interview" จึงมีความหมายว่า การพบกันระหว่างบุคคล 2 คน (หรืออาจมากกว่านี้ ในกรณีสัมภาษณ์หมู่) กล่าวคือระหว่างผู้สัมภาษณ์ (interviewer) และผู้ถูกสัมภาษณ์ (intervicwee) เพื่อเรียนรู้ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน อันจะเป็นประโยชน์แก่ทั้งผู้รับ (employer)และผู้สมัคร (candidate) หรือ (job applicant)
จุดมุ่งหมายของการสัมภาษณ์งาน (Purpose of the job interview) ถ้าผู้สมัครต้องการสอบสัมภาษณ์ให้ได้ดี ก็จำเป็นที่จะต้องเข้าใจ จุดมุ่งหมายของการสอบสัมภาษณ์ อย่าคิดแต่เพียงว่าการสอบสัมภาษณ์ คือการที่เราต้องไปนั่งตอบคำถามยากๆ ที่เกี่ยวกับตัวเราเองเท่านั้น ในทางตรงกันข้าม เราควรคิดว่าการสอบสัมภาษณ์ ก็คือการที่เราได้มีโอกาสได้แลกเปลี่ยน ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ แก่ผู้ที่อาจจะเป็นเจ้านายของเราในอนาคต
กล่าวง่ายๆ การสอบสัมภาษณ์งาน ก็คือการที่เราได้มีโอกาสพูดคุย เพื่อโฆษณาขายตัวเองให้บริษัท (To sell yourself to the company) นั่นเอง และที่สำคัญ การสอบสัมภาษณ์มีประโยชน์ดังนี้ คือ

1. เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติ และความเหมาะสมกับงานของผู้สมัคร
(To judge the applicant's qualifications and suitability for the job.)

2. เพื่อให้ข้อมูลแก่ผู้สมัคร ซึ่งจะเป็นประโยชน์ ต่อการตัดสินใจของเขา ก่อนการรับข้อเสนอเข้าทำงาน
(To provide the applicant with the information he needs to decide about the job.)

3. เพื่อทดสอบดูว่า ท่านมีความสนใจงาน ที่สมัครจริงหรือไม่ และนโยบายของบริษัท พร้อมทั้งโอกาส ที่จะได้เลื่อนตำแหน่ง เป็นที่สนใจของท่านจริงหรือไม่
(To find out if you will like the job you are applied for, whether the company's policies and prospects for promotion re attractive ehough for you to want the job.)


เคล็ดลับ "สัมภาษณ์งาน"

การสัมภาษณ์งาน ไม่ต่างอะไร กับการปีนเขานัก เพราะถ้าพลาดพลั้ง ขึ้นมาเมื่อใด หมายถึงหายนะเมื่อนั้น ถ้าปราศจากการเตรียมตัวที่ดี กำลังปีนๆ อยู่ก็อาจร่วงหล่นลงมาได้ง่ายๆ ต่อไปนี้ คือ เกร็ดการเตรียมตัว สำหรับการสัมภาษณ์งาน ที่คุณอาจมองข้ามไป
1. "ทำการบ้าน" มาก่อน
พนักงานบริษัทใหญ่รายหนึ่ง เล่าให้ฟังว่าเขา ถูกเรียกไปสัมภาษณ์งาน ก็เพราะบริษัทประทับใจ ที่เขาโทรไปสอบถามข้อมูล ของบริษัทก่อน การสัมภาษณ์ และเขาเป็น เพียงคนเดียว ที่ทำเช่นนั้น และเขาก็ได้งานในที่สุด
การทำการค้นคว้า หาข้อมูลอย่างเปิดเผย จะช่วยคุณได้มาก ในการสัมภาษณ์ เพราะเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่า คุณมีความสนใจ ในบริษัท หรือตำแหน่งนั้นๆ และสามารถทำให้คุณ เป็นผู้สมัครที่มีคุณสมบัติ ครบด้วยข้อมูลพื้นฐาน ที่คุณเตรียมไว้ คุณจะสามารถ ทำให้ประสบการณ์ และทักษะของคุณ มาบรรจบ กับสิ่งที่คุณรู้ว่า นายจ้างต้องการ
ในการเตรียมตัว เพื่อสัมภาษณ์งาน คุณควรใช้ประโยชน์ จากห้องสมุดร้านหนังสือ งานบริการนักศึกษาที่มหาวิทยาลัย และอินเทอร์เน็ต ให้เป็นประโยชน์ เพราะแหล่งข้อมูล เหล่านี้จะเป็นวิธีที่ดี ที่จะทำให้คุณได้มา ซึ่งข้อมูล ของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นเวบไซต์ของบริษัท หรือจากงานวิจัยของบุคคลอื่น

2. "โชว์ให้ดูแล้วเล่าให้ฟัง"
"show-and-tell" หรือ "โชว์ให้ดูแล้วเล่าให้ฟัง" เป็นเทคนิคประการหนึ่ง ที่สามารถหยิบมาใช้ ในการสัมภาษณ์งานได้ ทั้งนี้ เพราะการแสดง ให้เห็นตัวอย่างของทักษะ ที่คุณมีจะได้ผลดีกว่า การพูดคุยอย่างเดียว
วิธีการ "show-and-tell" ก็เช่นการนำเสนอรายงาน การทำโปรแกรมคอมพิวเตอร์ การวิเคราะห์ทำนายผล และหนังสือรับรอง หรือประกาศนียบัตร และถ้าคุณไม่ได้อยู่ในตำแหน่ง ที่จะสามารถโชว์ "พอร์ทโฟลิโอ" ของคุณได้ คุณควรนำเอาประสบการณ์ที่ "จับต้องได้จริง" มาแสดงให้เห็น มีนายจ้างจำนวนมาก ที่ใช้เทคนิคการ "สัมภาษณ์โดยดูความประพฤติ" พวกเขาเชื่อว่าพฤติกรรม ที่ผ่านมาจะเป็นตัวบ่งชี้พฤติกรรม ในอนาคต ดังนั้น ถ้าคุณถูกถาม เกี่ยวกับทักษะทั่วไป จงยกตัวอย่าง ที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งจะช่วยให้คุณได้เปรียบ จากผู้สัมภาษณ์คนอื่น

3. ฝึกฝน! ฝึกฝน! ฝึกฝน! น่าแปลกใจที่ผู้สอบสัมภาษณ์ จำนวนมากชอบ "ด้นกลอนสด" ทั้งที่การไม่ฝึกฝน จะทำให้คุณรู้สึกเหมือน นักปีนเขามือเปล่า ที่ไม่มีเชือกไว้ป้องกัน การพลัดตก การเตรียมคำตอบไว้ ทำให้คุณได้เปรียบ เพราะคุณสามารถทดลอง หาประโยค และคำที่เหมาะสม ในขณะที่พูดออกไปดังๆ และการเตรียมคำตอบ ที่เป็นไปได้ ไว้ให้พร้อมจะช่วย ลดความตื่นเต้น และถ้อยคำที่ "สั่น" และรัวเร็วได้ คำและวลีอย่างเช่น "แบบว่า" "มันเป็นอะไรที่" และ "ประมาณนั้น" จะหายไป คำที่พูดเวลานึกอะไร ไม่ออกอย่าง "เอ่อ" และ "อ่า" ก็จะหายไปด้วยเช่นกัน และควรฝึกฝน จังหวะการหยุดด้วย เพราะจะช่วยให้คุณ แก้ปัญหาเหล่านี้ได้

4. เอาตัวคุณเองเป็นกรณีศึกษา
ทำไมคุณถึงควรได้งานนี้? คุณเป็นคนที่ดีที่สุด สำหรับงานนี้ นั่นคือเหตุผล!! คุณต้องเชื่อว่าคุณเป็นคนที่ดีที่สุด สำหรับงานนี้ หรือคุณไม่สามารถเชื่อมั่น คนอื่นได้มากกว่านี้ ก็จริงล่ะ ที่ว่าคุณอาจไม่มีประสบการณ์ ที่จำเป็นนั้นซะทั้งหมด แต่คุณก็ได้เข้าสัมภาษณ์แล้วไม่ใช่หรือ?
หลังจากคุณได้สาธยาย ทักษะเฉพาะด้านของคุณ ในระหว่างการสัมภาษณ์ บทสรุปของประเภท และลำดับขั้นของทักษะ และประสบการณ์จะทำให้ เป็นที่พอใจมากชึ้นไปอีก
"คุณสมชาย ตลอดระยะเวลา 10 ปีของประสบการณ์ ทางวิชาชีพของผม ผมได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำ ความสามารถเฉพาะด้าน และการพัฒนาลูกค้า ซึ่งผมเชื่อว่า คุณกำลังหาคนที่เหมาะสมอยู่ คุณจะรับผมไว้ทำงานได้ไหมครับ ผมจะพยายาม และฝ่าฟันจนกลายเป็น สมาชิกที่มีค่าคนหนึ่ง ของบริษัทครับ"
การ "ปีน" เพื่อไปให้ถึงจุดสูงสุดนั้น ไม่จำเป็นต้องพยายามอยู่คนเดียว อย่างโดดเดี่ยว ควรหาความช่วยเหลือ จากคนที่คุณเห็นว่า ให้คำแนะนำได้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็น ที่ปรึกษาผู้ดูแล อาจารย์ครูฝึกอาชีพ หรือเพื่อนร่วมงาน พวกเขาจะมีความสุข ที่คุณมองเขาเป็น "ทรัพยากรที่มีค่า" ด้วยสิ่งที่จำเป็น เช่น การฝึกซ้อม การวิจัย การ "โชว์แล้วเล่า" และความมั่นใจ แล้วการสัมภาษณ์ ก็จะไม่ทำให้คุณ กลัวเหมือนที่ผ่านมา


วิธีเอาตัวรอดจาก 9 คำถามสัมภาษณ์งาน
บ่อยครั้ง "คำถาม" ในการสัมภาษณ์ ก่อนรับเข้าทำงาน สร้างความตื่นเต้น จนหนุ่มสาวออฟฟิศ หลายคนสอบตก
"การสัมภาษณ์งาน" ช่วยให้บริษัทผู้จ้าง รู้จักพนักงานใหม่ ที่จะรับเข้ามาร่วมงาน ทั้งในด้านวิชาความรู้ ทัศนคติ ไปจนถึงลักษณะนิสัยส่วนตัว
ลองอ่านคำถามทั้ง 9 ข้อต่อไปนี้ พร้อมคำตอบ ที่มีไว้ให้ คุณรู้สึกอย่างไร กับคำตอบเหล่านั้น

1. เล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวคุณ ให้พวกเราฟังหน่อย? • "ผมมีประสบการณ์ ครอบคลุมด้านพัฒนา กลยุทธ์ทางการตลาดอย่างกว้างขวาง รวมทั้งตรวจสอบการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่"
• "ผมก็เป็นเหมือนกับมนุษย์ทั่วไป ที่เขาเป็นกันนั่นแหละครับ"
• "ผมเป็นแบทแมน!"

2. อะไรคือข้อเสียที่สุดในตัวคุณ
• "ผมเป็นคนค่อนข้างนิยมชมชอบ ความสมบูรณ์แบบ และมีความภาคภูมิใจในหน้าที่การงาน ที่ต้องรับผิดชอบอย่างมาก"
• "ผมอยู่นิ่งไม่เป็น ซนเหมือนลูกม้ายังไงยังงั้น"

3. เพราะเหตุใดคุณจึงตัดสินใจ ลาออกจากงานที่ทำอยู่เดิม • "ความสามารถของผม มีมากกว่าตำแหน่งเดิม ที่บริษัทเสนอให้"
• "ผมมีปัญหาเล็กน้อยเกี่ยวกับข้อตกลงเรื่องการว่าจ้าง"
• "นโยบายการล้างมือที่นั่นเข้มงวดเกินไป"
• "เพื่อนร่วมงานที่นั่น ถามนู่นถามนี่มากเกินไป"
• "เดาได้เลย.....ว่าคุณไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์"

4. ถ้าคุณกับเจ้านายเกิดความตึงเครียด เรื่องการทำงานระหว่างกัน คุณจะจัดการอย่างไร • "ผมเชื่อว่า การสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา จะช่วยคลี่คลายได้ทุกปัญหา"
• "ผมจะใช้นโยบายความสัมพันธ์ส่วนตัวเข้าช่วย"

5. คุณต้องการเงินเดือนเป็นค่าตอบแทนเท่าใด
• "ควรจะเทียบเคียงได้กับอัตราทั่วไปในปัจจุบัน"
• "ผมไม่ทราบ แล้วเท่าไหร่ล่ะ ที่คุณตัดสินใจมาทำงานให้กับที่นี่"

6. คุณเคยทำงานให้กับระดับผู้จัดการ ที่ยากในการทำงานด้วย หรือไม่ • "โดยทั่วไป ผมมีลักษณะนิสัยที่เข้ากับคนอื่นๆ ได้ดี"
• "ก็เคยอยู่บ้าง แต่รับรองได้ คุณจะไม่ได้ยินข่าวคราวจากเขาแน่นอน"

7. คุณจะเสนอขาย "ที่เย็บกระดาษ" ตัวนี้ ให้กับลูกค้าอย่างไร
• "ควรจะรวบรวมการวิจัย ทางการตลาดให้มากๆ ก่อนเป็นอันดับแรก"
• "ยื่นข้อเสนอในสิ่งที่คนซื้อไม่สามารถปฏิเสธได้"
• "จ้างพนักงานแนะนำที่เป็นผู้หญิง ลูกค้าพร้อมจะเออออไปกับคนขายสวยๆ อยู่แล้ว"

8. ลองแสดงให้พวกเราเห็นถึงความมีอารมณ์ขันของคุณ
• "ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ผมยังพอมองหารอยยิ้มได้ ในสถานการณ์นั้น"
• "ผมอยู่ตรงหน้าคุณแล้วไง... รึไม่มีใครมองเห็นผม"
• "ดึงนิ้วมือผมเล่นสิ"

9. ทำไมพวกเราจึงควรจ้างคุณ • "ผมสามารถช่วยงานบริษัทคุณได้"
• "เพราะลึกๆ แล้ว คุณชอบผมน่ะสิ"
• "ไม่เอาน่า... คุณมักทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากเสมอๆ เลยนะ"
คำตอบแรกของทุกคำถาม คือคำตอบที่สร้างทัศนคติในเชิงบวกในการสัมภาษณ์งาน หากวันใดที่คุณเดินเข้าไปสมัครงาน หรือเปลี่ยนงาน และได้ยินคำถามเหล่านี้ หวังว่าคำตอบของคุณ คงอยู่ในแดนบวก มากกว่าลบ

สิ่งที่ "ควรทำ" และ "ไม่ควรทำ" ในการสัมภาษณ์งาน
แม้ว่าผู้สัมภาษณ์งานแต่ละคน จะไม่ถามอะไรที่เหมือนกัน "เป๊ะ" แต่ก็ยังพอคาดเดาคำถาม ที่คุณต้องเผชิญได้ล่วงหน้า ดังนั้น ถ้าคุณกำลังมองหาหนทาง ที่จะเลื่อนตำแหน่งงานงาน โดยการโยกย้ายบริษัทใหม่ ก็จงทำการบ้านเพื่อเตรียมคำตอบที่ "ฉลาดๆ" ไว้ก่อน
ต่อไปนี้คือ

"คำถาม" ยอดนิยม และแนวทางในการ "ตอบ"

1. คุณให้คะแนนความสามารถของตัวคุณเองเท่าไรตั้งแต่ 1-10? อย่า ให้คะแนนที่ระบุเป็นตัวเลขลงไป โดยเฉพาะเลข 10 เพราะคุณจะกลายเป็นคนที่ "โอ้อวด" ทันที และคะแนน 7 หรือ 8 ก็จะทำให้คุณดูเหมือนขาดความมั่นใจ จง พูดว่าคุณจะฝ่าฟันไปให้ถึงระดับ 10 ทั้งเรื่องของชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวได้อย่างไร และเน้นย้ำว่าการทำอะไรให้ดีที่สุดนั้น "สำคัญ" สำหรับคุณเสมอ

2. อะไรคือจุดแข็งที่สุดของคุณ? อย่า จำกัดคำอธิบายของคุณด้วยคำตอบสั้นๆ เช่น "ผมเป็นคนทำงานหนักมาก" หรือ "ผมชอบทำงานเป็นทีม" จง ทำให้ผู้สัมภาษณ์เชื่อมั่นในตัวคุณ บอกอุปนิสัยส่วนตัวของคุณ จากนั้นรีบยกตัวอย่างเรื่องจริง เพื่อให้เห็นภาพสักหนึ่งหรือสองนาที โดยควรเตรียมไว้สักสอง หรือสามเรื่อง

3. คุณมองหา "อะไร" ในงานต่อไปของคุณ? อย่า พูดว่าคุณต้องการให้บริษัทให้อะไรแก่คุณ จง อธิบายว่าคุณต้องการอะไร ในแง่มุมที่ว่า "คุณ" สามารถให้อะไรแก่นายจ้างได้บ้าง ถ้าคุณกำลังมองหาการเพิ่มประสบการณ์ด้านการจัดการโครงการ คุณก็ควรอธิบายว่าคุณมีความเชี่ยวชาญในด้านนี้มาก่อน และคุณจะนำเอาความสามารถนี้มาช่วยได้อย่างไร และการทำงานนายจ้างที่จะสามารถช่วยให้สิ่งนี้เป็นจริงได้

4. คุณจะอยู่ตรงไหนใน 5 ปีข้างหน้า? อย่า พูดถึงแผนการของคุณเกี่ยวกับการกลับไปเรียน หรือการเริ่มต้นธุรกิจสอนดำน้ำบนเกาะ จง แสดงให้เห็นว่าคุณมีความมานะพยายามและมีหนทางที่จะไปถึงจุดหมายได้ แต่คุณไม่จำเป็นต้องเจาะจงลงไป คุณควรที่จะอธิบายว่าในเวลานี้คุณกำลังมองหา ความก้าวหน้าในอาชีพการงานอยู่ และคุณตระหนักดีว่ายังมีโอกาสอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ เมื่อบริษัทได้เรียนรู้ตัวคุณมากขึ้น

5. คุณใช้เวลา 4 ปีที่ผ่านมา ในการทำหน้าที่เป็นคุณแม่ และแม่บ้านอย่างเต็มตัว ต่อไปนี้คุณจะสร้างความสมดุลระหว่างงานและลูกๆ ได้อย่างไร? อย่า พูดว่าลูกตัวน้อยๆ ของคุณเลี้ยงง่ายและน่ารักเพียงใด เพราะนั่นจะไม่ทำให้คุณ ได้รับความเชื่อมั่นจากนายจ้าง
จง บอกว่าลูกของคุณตอนนี้ ก็เติบโตขึ้น และกำลังอยู่ ในโรงเรียนเตรียมอนุบาล และคุณกำลังพกพาความกระตือรือร้น และความตื่นเต้น ที่จะได้กลับเข้ามาทำงานอีกครั้ง ซึ่งความรู้สึกนี้อาจไม่พบ ในลูกจ้างที่ไม่เคยมีประสบการณ์ ในการ "ต้องอยู่บ้าน" ...

สูตรในการสัมภาษณ์

เป็นที่น่าสังเกตว่า สูตรต่างๆ ที่หยิบยกมาแนะนำนั้น เป็นของต่างประเทศ อาจเป็นเพราะว่า เขามีคนช่างคิด ช่างจัดก็ได้ แต่สามารถ นำมาปรับใช้ กับการจ้างงาน ของเราได้ดีทีเดียว ผู้อ่านที่ติดตาม มาตลอด คงเข้าใจคำว่า สูตรที่ใช้ว่า หมายถึงอะไร สูตรที่จะ ให้ครั้งนี้ มีชื่อว่า STAR หลายคนที่เคย ผ่านหลักสูตร Target Selection ต้องเรียนถึงสูตรนี้ หลักสูตร ยาวนานถึง สามวันทีเดียว แต่ทำ ในรูปของ Workshop คือต้องฝึกภาคปฏิบัติ เกือบตลอดเวลา จะสรุปใจ ความของสูตรนี้ ดังนี้
S ตัวแรกย่อมาจากคำว่า Situation ที่แปลว่า สถานการณ์ คือต้องการทราบว่า ผู้สมัคร เคยมี ประสบการณ์ ในการเผชิญกับ ปัญหาหรือมรสุม อะไรในชีวิตบ้าง ธรรมดาคนเรา ถ้าไม่เคยพบกับ ความลำบากยากเข็ญ ก็จะไม่แกร่ง ไม่แข็งแรงพอ ที่จะผจญกับ ความลำบากยุ่งยาก ไม่เคยเจ็บ ก็ไม่มีภูมิต้านทาน บางครั้งเรา จึงต้องฉีดเชื้อโรคเข้าไป เพื่อให้ร่างกาย สร้างภูมิคุ้มกันให้ ก็จะไม่เป็นโรคนั้น ฉะนั้น จึงต้องมีการค้นหาว่า ผู้สมัครผ่านสมรภูมิ หรือมีภูมิคุ้มกันบ้างไหม
เขาจะแกร่งพอ สำหรับงาน หรือสู้กับงาน ได้อย่างทรหด อดทนไหม ผู้สัมภาษณ์ ต้องสร้างคำถาม เพื่อให้ผู้สมัคร มีโอกาสเล่าถึง ประสบการณ์ที่เขาเคยพบมา ต้องชั่งน้ำหนักว่า สิ่งที่เขาบอกเล่า มันหนักหรือเบา เขาเป็นตัวปัญหา หรือเป็นผู้รับ ผลกระทบ
Task คือคำเต็ม ของตัว T หมายถึง ความสามารถ ของผู้สมัคร ในการรับมือกับ Situation ที่เขาบอกเล่าอย่างไร เขาสามารถ ยืนหยัดด้วยตนเอง หรือได้รับความช่วย เหลือจากใคร จนทำให้เขา ผ่านพ้น สถานการณ์ที่ยุ่งยากนั้นมาได้ ข้อนี้วัดผู้สมัครได้ หลายอย่าง ทั้งด้านการ ควบคุมอารมณ์ การวิเคราะห์ การใช้เหตุผล รวมตลอดถึง ความเป็นผู้ใหญ่ หากเขาบอกว่า ไม่เคยมี สถานการณ์ ที่ยุ่งยาก แล้วเลยแปลว่า หมดโอกาส ค้นหาข้อ ต่อไปหรือไม่ คงไม่เป็น เช่นนั้น เพราะหาก เขาโชคดี ชีวิตราบเรียบ ก็สามารถ ใช้คำถามและ สร้างสถานการณ์ ให้เขาตอบได้ว่า หากเขาเจอแบบนี้ จะทำอย่างไร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ ความสามารถ ของผู้สัมภาษณ์ ด้วยเป็นสำคัญ
A ตัวนี้ ไม่ใช่อย่างที่หลายคนนึก เพราะผู้เขียนเคยลองหลายทีแล้วว่า ตัวนี้น่าจะมาจาก คำว่าอะไร ปรากฏว่าทายผิดแทบทุกคน คำเต็มคือ Action ซึ่งแปลว่า การกระทำ เป็นสิ่งที่ต่อเนื่อง จากสองคำแรก หมายถึงว่า การกระทำอะไรที่ได้ทำลงไป เพื่อคลี่คลายความยุ่งยาก ที่ต้องเผชิญ เป็นการวัด พลังความคิด และให้พิสูจน์ไปใน ตัวว่า คิดแล้วสามารถ ทำให้เกิดเป็น จริงด้วยได้ จะได้ผล หรือไม่เป็นสิ่ง ที่วัดผลได้เลย จากคำบอกเล่า ของผู้สมัคร จะพูดแบบเกินเลย หรือไม่นั้น อยู่ที่ผู้ฟัง คือผู้สัมภาษณ์ ต้องใช้วิจารณญาณ ของตนเองว่า เรื่องราว ที่เขาเล่านั้น น่าเชื่อถือแค่ไหน เพียงใด
R คือคำว่า Result หรือผลลัพธ์นั่นเอง เป็นผลมาจากอะไร ก็เป็นผลมาจากการ การที่ต้องพบกับความยุ่งยาก หรือปัญหา แล้วก็เรียงมา ถึงความคิด ความสามารถ ที่จะรับมือกับปัญหา เมือคิดได้แล้ว ถึงขั้นลงมือทำ มาจบลงที่ผลที่เกิดขึ้น จากความคิดเหล่านั้น ว่าเกิดผลอย่างไร จะเลวร้ายกว่าเดิม หรือผ่อนคลาย หรือรอดพ้นมาได้ คือผลลัพธ์ตามข้อนี้
จะเห็นได้ว่า Situation Task Action Result [STAR] เป็นการวัดความสามารถของคน ซึ่งมีความเกี่ยวพันกัน เป็นลูกโซ่ จะขาดช่วงใด คำใดไม่ได้ ต้องโยงใยครบถ้วน แล้วได้อะไร จากการใช้สูตรนี้ น่าจะครบพอสมควร สำหรับการทำงาน อยากบอกเพิ่มเติมว่า คนที่มีคุณสมบัติครบถ้วน จากการหาแบบนี้ ไม่ใช่พนักงานธรรมดาหรอก น่าจะเป็นคนที่มีศักยภาพ [ Potential] คนหนึ่งทีเดียว คนเราลอง พบปัญหา แล้วสติไม่แตก กลับพลิก วิกฤตเป็นโอกาส ใช้ความสุขุม คิดแก้ปัญหา แล้วยังลงมือ แก้ตามที่คิด ยังผลให้เกิดเห็นเป็น รูปธรรมด้วย น่าจะเป็นคน ที่ได้ไว้ทำงานด้วย น่าจะจัดได้ว่า เป็นคนมีคุณภาพ
ขอย้ำสักนิดว่า นี่คือคนเก่งนะ แต่ไม่อาจรับรองว่าจะเป็นคนดีด้วย ต้องแยกให้ออกว่า คนเก่งและคนดี ไม่เหมือนกัน หากจะหาคนดี อาจต้องค้นหา ด้วยสูตรอื่น หรือคำถามอื่น คนเก่งอาจ ไม่ต้องการเวลามากนัก ในการเรียนรู้งาน หลายแห่ง เมื่อใช้สูตรนี้ กำหนดว่า จะต้องมีวิธีจัดการ หรือกำหนดอนาคตคน ที่ผ่านสูตร นี้ได้เป็นพิเศษ เรียกว่ามีเส้นทางลัด [ Fast Track} ในการเติบโต เช่นการจ้าง ผู้บริหารฝึกหัด [ Management Trainee] หากไม่มี แผนพิเศษให้เขา องค์การจะรู้ว่าไม่สามารถตอบสนอง หรือเก็บเขาไว้กับองค์การได้ เนื่องจากคนพวกนี้ จะเป็นนักแสวงหา มีพลังแฝงในตัวสูง หากให้งานธรรมดา ไม่พอมือ พอใจเขาหรอก ต้องมีเส้นทางพิเศษให้เดิน
ผู้สัมภาษณ์ ต้องเรียนรู้ถึงการสร้าง คำถามที่สอดคล้องกับสูตรนี้ แน่นอนคำถามต้องกว้าง เป็นแบบเปิดไม่ชี้นำ เพราะต้องการ ให้เขาแสดงออกมากที่สุด ใช้การกระตุ้น ให้กำลังใจ จะได้พูดออกมาให้หมด อาจมีการซักถาม เป็นบางช่วง หากต้องการรู้รายละเอียดเพิ่ม แต่ควรปล่อยให้เขาพูด อย่าขัดจังหวะ แต่ต้องจำแล้ว เก็บมาถามใน ตอนท้าย สิ่งที่จะช่วยคือต้องมีความจำดี ช่างสังเกต และการมีมุมมองที่กว้าง ใจกว้าง พร้อมรับฟังความคิด ของคนอื่น ซึ่งอาจไม่เหมือน กับของผู้สัมภาษณ์ หากบังเอิญ Situation พ้องกับ สิ่งที่ผู้สัมภาษณ์เคยพบ อาจมีวิธีแก้ปัญหา ไม่เหมือนกัน อย่าเร่งตัดสินว่า เขาผิด ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ต้องค้นให้พบว่า เขาได้เรียนรู้อะไรบ้าง และจะนำมาใช้ในช่วง ชีวิตต่อไปอย่างไร
STAR เป็นสูตรในการสัมภาษณ์ ที่ได้รับความนิยมในวงกว้าง บ้านเราเริ่มเรียนรู้สูตรนี้แล้ว ไม่อยู่ในแวดวง แคบเหมือนเมื่อก่อน ที่ใช้เฉพาะบางธุรกิจเท่านั้น แต่การรู้แค่สูตร หากไม่สามารถ นำไปประยุกต์ใช้ ก็เปล่าประโยชน์ จึงอยู่ที่การปรับ ใช้โดยการสร้างคำถาม จึงจะสมบูรณ์ ได้ทั้งประสิทธิภาพ และประสิทธิผล

ประเภทของคำถาม เมื่อได้ทราบกระบวนการต่างๆ ของการสอบสัมภาษณ์งานไปแล้ว ต่อไปนี้ลองมาดูประเภทของคำถามกันบ้าง เพราะเมื่อถึงเวลาสัมภาษณ์เข้าจริงๆ จะได้เตรียมตัวได้ถูก ดังนี้ครับ

นักวิชาการ ได้แบ่งลักษณะของคำถาม ออกเป็น 5 ประเภท คือ

1. คำถามเปิด คำถามชนิดนี้จะเปิดกว้าง ให้ผู้ตอบได้มีโอกาสตอบ และแสดงความคิดเห็นของตน อาจจะเป็นคำถามที่คลุมเครือ เช่น คุณมีประสบการณ์อะไรบ้าง (What experience do you have?) ดังนั้น เวลาตอบ ผู้ตอบคำถามเหล่านี้ ต้องตอบโดยตีความให้แคบลง โดยระบุลงไปว่า มีประสบการณ์อะไรบ้าง

2. คำถามปิด คือคำถามที่ต้องการ เฉพาะเจาะจง เพียงต้องการให้ผู้ตอบ ตอบเพียง Yes หรือ No เท่านั้น กรณีเช่นนี้ ถ้าผู้ตอบ ตอบไม่ได้จริงๆ ก็ให้ตอบไปตามตรงเลยว่า ไม่ทราบ (Sorry! I don't know) เพราะว่าคำถามประเภทนี้ ผู้ตอบจะไม่ค่อยมีโอกาส แสดงออกความคิดเห็น ได้เองเท่าใดนัก

3. คำถามทวน เป็นคำถามที่แนะเป็นนัย ให้ผู้ตอบตรึกตรองดูอีกครั้งหนึ่งว่า คำตอบ ที่ตอบไปแล้วนั้น จะสมบูรณ์พอแล้วหรือไม่ เช่น คุณพูดว่า คุณจะไปต่างประเทศสิ้นปีนี้ใช่หรือไม่(You said you would go abroad at the end of this year, is that true?)

4. คำถามหยั่ง คือคำถามที่หยั่งลึกลงไป เพื่อหยั่งหาเหตุผล ทัศนคติ และความเชื่อ ของผู้ถูกถาม เช่น ทำไมคุณจึงยอมลาออก จากที่ทำงานเดิม ทั้งๆ ที่ยังไม่ทำงานใหม่ (Why did you decide to quit your last job, though you have not yet get the new one?)

5. คำถามนำ คือคำถามที่มีลักษณะ แบบทำให้ผู้ตอบ ตอบตามที่ผู้ถามคาดคะเนเอาไว้ เช่น เธอไม่มีโรคประจำตัว ตามที่ระบุไว้ในข้อ 4 ของระเบียบใช่หรือไม่ (You don't have any diseases as indicated in clause 4 of our procedure, do you?)
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ คือประเภทของคำถาม ที่ผู้สมัครพึงศึกษาไว้ล่วงหน้า เพื่อที่จะใช้คำตอบได้ถูกต้อง และในบทต่อไปเป็นคำถาม และคำตอบที่ผู้เขียนได้รวบรวมไว้ เพื่อเป็นแนวทางแก่ผู้ที่จะเข้าสอบสัมภาษณ์ ได้ศึกษา และเรียนรู้ไว้ก่อน

Prepare for predictable questions ในการสอบสัมภาษณ์แม้ว่าจะต่างกรรม ต่างวาระ แต่จะมีคำถามส่วนหนึ่ง เป็นคำถาม Basic ที่ผู้สัมภาษณ์มักใช้สัมภาษณ์ ซึ่งหากมีการเตรียมตัว หรือซักซ้อมคำตอบไว้ล่วงหน้า จะเป็นคำถามช่วยทำคะแนน คำถามต่อไปนี้ผู้เขียนได้เตรียมไว้ล่วงหน้า เพื่อให้ผู้สมัคร ได้มีโอกาสเตรียมตัว รับสถานการณ์ไว้ ก่อนเข้ารับการสัมภาษณ์จริง....
 
1. Why did you apply for this position? (ทำไมคุณจึงเลือกสมัครตำแหน่งนี้) หรือ
Why do you want to leave your present job? (ทำไมคุณจึงต้องการออกจากงาน ที่ทำอยู่ปัจจุบัน)
คำถามประเภทนี้ ต้องตอบในลักษณะที่ว่า เราต้องการมีประสบการณ์มากขึ้น และอยากมีความรับผิดชอบ มากขึ้นกว่านี้อีก เช่น
 I would like to broaden my experience and have more responsibility. หรือ
 I have been looking for another job which give me more responsibility and offer better prospects for the future. (ผมกำลังหางานใหม่ ที่มีความรับผิดชอบมากขึ้น และมีอนาคตที่ดีกว่า)

2. ไม่ควรทำตัวคุ้นเคยจนเกินไป ถึงแม้ว่า บริษัทที่เราไปสมัครนั้น จะไม่ค่อยเคร่งครัดเกี่ยวกับระเบียบมากนักก็ตาม เช่น ถ้าหากผู้สัมภาษณ์ แนะนำตัวเองว่า "My name is James Thomson" ก็ไมควรเรียกเขาโดยใช้ชื่อแรกว่า "Mr.James" เพราะในภาษาอังกฤษถือว่าไม่สุภาพ ควรจะเรียกเขาว่า "Mr.Thomson" จะเหมาะสมกว่า

3. ตามปกติแล้ว มีน้อยครั้งที่ผู้สัมภาษณ์จะเริ่มต้นโดยกล่าวว่า
"Right, tell me about yourself." (เอาละช่วยบอกให้ผมทราบเกี่ยวกับตัวคุณหน่อยซิ)
คำถามลักษณะนี้ เวลาตอบต้องถามผู้สัมภาษณ์ให้แน่นอนว่า จะให้เริ่มเล่าตั้งแต่ตอนไหน โดยการถามเขาว่า "Where would you like me to begin?"
เมื่อถึงตอนนี้ผู้สัมภาษณ์อาจจะพูดว่า "I'd like you to tell me a bit about what you've been doing since you left University." (ผมอยากให้คุณเล่าให้ฟังนิดหน่อยว่า คุณทำอะไรหลังจากจบมหาวิทยาลัยแล้ว)
ผู้สมัครอาจจะตอบว่า well, when I graduated in 1986, I started work as a salesman with an electronics company and I have been with this company since then." (เมื่อผมได้รับปริญญาในปี ค.ศ.1986 ผมก็เริ่มทำงานเป็นเซลส์แมนกับบริษัทอิเล็กทรอนิกส์แห่งหนึ่ง และผมก็ได้ทำงานกับบริษัทนี้ มาจนกระทั่งบัดนี้)

4. อนึ่ง การที่เราชักชวนให้ผู้สัมภาษณ์พูดนั้น ย่อมเป็นวิธีที่ดีอย่างหนึ่ง และเวลาเขาพูด เราก็ต้องแสดงความในใจให้เขาเห็น โดยการตอบรับบ้าง อย่านั่งฟังแต่เพียงฝ่ายเดียว เช่น
"That's interesting." (นั่นน่าสนใจจริงๆ ครับ) หรือ
"I see." (อย่างนั้นหรือครับ)
การตอบรับแบบนี้ ควรพูดได้เป็นบางครั้ง บางคราวเท่านั้น เพราะถ้าใช้พร่ำเพรื่อ จะกลายเป็นว่าเราไม่มีความรู้ ความสามารถอะไรเลย ครับ ยังไม่จบนะครับยังมีต่อ แต่ตอนนี้จะขอจบไว้เพียงเท่านี้ก่อน เอาไว้พบกันตอนหน้านะครับ สวัสดีครับ!

Prepare for predictable questions ก่อนที่จะเข้าสัมภาษณ์ทุกครั้ง ผู้สมัครไม่ควรละเลย ที่จะซักซ้อมคำถามคำตอบล่วงหน้าไว้ก่อน เพื่อหาคำตอบที่ดีที่สุด ซึ่งบางครั้งคำถาม คำตอบเหล่านี้ อาจจะถูกถามหรือไม่ก็ได้ เหมือนกับการจับ "ใบดำ ใบแดง" แต่อย่างน้อย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้สัมภาษณ์ ซึ่งคราวที่แล้วเราได้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปแล้ว คราวนี้จะมาดูว่ามีคำถามอะไรเพิ่มเติมอีกบ้าง ที่เราพอจะเตรียมตัวได้อีกบ้าง
 กรณีที่มีผู้สัมภาษณ์หลายคน ซึ่งเรียกว่า "The panel interview" นั้น เมื่อเรากำลังจะตอบคำถาม ของผู้สัมภาษณ์ท่านใดท่านหนึ่ง แต่มีผู้สัมภาษณ์ท่านอื่น พูดแทรกขึ้นมา เราควรพูดคั่นในทำนองนี้ "May l try to answer your question together with the one raised by your colleague?" (ขอให้ผมได้ตอบคำถามของท่าน พร้อมกับคำถามของเพื่อนร่วมงาน ของท่านด้วยนะครับ)
 คำถามที่ควรระมัดระวังในการตอบก็คือ คำถามเกี่ยวกับเรื่องเงินเดือน เช่น ถ้าถูกถามว่า "What salary do you expect to get?" (คุณต้องการเงินเดือนเท่าไหร่)
 คำถามประเภทนี้ ไม่ควรตอบโดยระบุว่า ต้องการเท่านั้นเท่านี้ ควรตอบในลักษณะนี้จะดีกว่า "Usually what is your standard rate of pay for a person in this position?" (โดยปกติแล้ว มาตรฐานการจ่ายเงินเดือนของคุณ ให้กับบุคคลที่มีประสบการณ์เช่นผม ซึ่งทำงานในตำแหน่งเดียวกันนี้เป็นอย่างไร)
 ถ้าต้องการให้เหตุผลว่า เรามีคุณสมบัติเหมาะสมกับงาน ควรใช้ "I am suited to the job." อย่าใช้ The Job suits me. เด็ดขาด เพราะงานอยู่กับที่ เราเองต่างหากที่ไปเหมาะสมกับงานเอง
 เมื่อถูกถามเกี่ยวกับชีวิตในครอบครัว (Family background) เช่น What does your father do for a living? หรือ Does your mother work?
อะไรทำนองนี้ ก็ไม่ควรพยายามบ่ายเบี่ยงไม่ตอบ เพราะรู้สึกอาย หรือกลัวว่าเมื่อตอบความจริงแล้ว จะทำให้ตัวเองต่ำต้อย หรือไม่ก็กลัวถูกปฏิเสธ แท้จริงแล้วเราควรพูดความจริง เพราะถ้าคิดจะดิ้นรน ต่อสู้ชีวิตในอนาคต ก็ไม่ควรปล่อยให้วิถีชีวิตในอดีต มาเป็นอุปสรรคแก่ตัวเราได้
 คำถามเกี่ยวกับเวลาว่าง (Spare time) หรืองานอดิเรก (Hobbies) ถ้าเราตอบว่าชอบอ่านหนังสือ ก็ควรจะตอบได้ว่า ผู้เขียนหนังสือที่เราอ่านคือใคร และเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร อย่าเพียงแต่ระบุไว้ในใบสมัคร ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่มีนิสัยรักการอ่าน หรือเกี่ยวกับกิจกรรมอื่นๆ เราก็ควรมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ เพราะถ้าไม่รู้จริง จะทำให้ผู้สัมภาษณ์ หมดความเชื่อถือในตัวเราได้
เราควรติดตามความเคลื่อนไหว ในเหตุการณ์ปัจจุบัน ซึ่งอยู่รอบๆ ตัวเรา ทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม โดยการอ่านหนังสือพิมพ์ ดูทีวี หรือฟังวิทยุ ก็ได้ ถึงแม้เราจะไม่เคยสนใจมาก่อนเลยก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข่าวใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น
 คำถามเกี่ยวกับความทะเยอทะยาน หรือความกระตือรือร้น (Ambition) หรือ (Aspiration) เช่น How do you see your career developing over the next five years? (คุณเห็นว่าอีก 5 ปีข้างหน้า งานของคุณจะพัฒนาไปอย่างไร) ก็ไม่ควรแสดงความทะเยอทะยานจนเกินไป เพราะผู้สัมภาษณ์อาจเกรงว่า ผู้สมัครมีความทะเยอทะยานมากจนเกินไป จนเป็นเหตุให้อยู่บริษัทได้ไม่นาน
 คำถามที่ถามว่า What do you think are your weaknesses or failings? (อะไรที่คุณคิดว่าเป็นความอ่อนแอ หรือเป็นข้อบกพร่องของคุณบ้าง) คำถามเช่นนี้ไม่ควรตอบว่า "I dont't have any weaknesses/failings at all. (ผมไม่มีความอ่อนแอ หรือข้อบกพร่องใดๆ เลยครับ) ซึ่งเมื่อฟังแล้ว ดูจะเป็นการพูดเท็จมากกว่า
 ดังนั้น คำถามในลักษณะนี้ ควรตอบเช่นนี้จะเหมาะสมกว่า "I don't think I have any weaknesses or failings which would affect my ability to do this job." (ผมไม่คิดว่าผมมีความอ่อนแอ หรือข้อบกพร่องใดๆ ที่จะเป็นอุปสรรค ต่อความสามารถของผม ในการทำงานนี้ครับ)
คำถามคำตอบเหล่านี้ เป็นเพียงแนวทางเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งผู้สมัครควรเตรียมตัวไว้บ้าง จะได้ไม่รู้สึกเจ็บใจ เมื่อออกจากห้องสัมภาษณ์มา และกลับมาพูดหัวข้อใหม่ ในตอนหน้านะครับ....

Questions you need not ask ในการสัมภาษณ์หลายครั้ง ผู้สมัครงานมีคำถาม "คาใจ" แม้จะเกี่ยวพันกับการทำงาน และผลประโยชน์โดยตรง แต่บางครั้งก็เป็นคำถาม "ต้องห้าม" และหากหลุดปากถามออกไป ก็อาจจะทำให้โอกาส หลุดลอยไปก็ได้ ลองดูกันว่า คำถามแนวไหนที่ไม่สมควรถาม....

1. Do I have to sign a contract?
(ผมต้องเซ็นสัญญาหรือไม่)

2. What are the working hours?
(ชั่วโมงการทำงานเป็นอย่างไร)

3. Will I have to work overtime?
(ผมต้องทำงานล่วงเวลาหรือไม่)

4. What degree have you obtained?
(ท่านสำเร็จศึกษาอะไรมา)

5. How much vacation leave am I entitled to?
(ผมมีสิทธิลาหยุดงานได้นานเท่าไร)

6. Do we have a Labour Union here?
(ที่นี่เรามีสหภาพแรงงานได้หรือไม่)

7. Will I have the cpportunity to travel overseas?
(ผมจะมีโอกาสไปต่างประเทศหรือไม่)

8. What fringe benefits does your company offer?
(ทางบริษัทให้ผลประโยชน์อะไรบ้าง)

แน่นอนที่สุด ผู้สมัครย่อมต้องการคำตอบของคำถามเหล่านี้ ก่อนที่จะรับทำงาน แต่ผู้สมัครก็ไม่ควรถามคำถามเหล่านี้ในขณะสัมภาษณ์ เพราะผู้สัมภาษณ์อาจเกิดความรู้สึกที่ไม่ดี (bad impression) ต่อผู้สมัคร เป็นต้นว่า

 ผู้สมัครเห็นแก่เงินเดือนเท่านั้น
 ผู้สมัครไม่ต้องการยึดมั่นอยู่กับงานนั้นโดยเฉพาะ แต่ต้องการทำไปอย่างนั้นเอง
 ผู้สมัครไม่ค่อยสนใจที่จะปรับปรุงงานนั้นให้ดีขึ้น แต่ต้องการเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น
ดังนั้น วิธีที่ดี ก็คือ ผู้สมัครควรถือเสียว่า เรายังมีเวลาซักถาม คำถามเหล่านี้อยู่มาก รอให้เขารับเราเสียก่อน ค่อยถามก็ได้
ครับ ตอนนี้ก็จบกันเพียงสั้นๆ และเบาๆ ก่อนครับ แล้วค่อยพบกันตอนหน้า สวัสดีครับ

Questions you will need to ask
เกือบทุกครั้งที่จบบทสัมภาษณ์ ผู้สัมภาษณ์มักจะเปิดโอกาส ให้ผู้สมัครได้ถามสิ่งที่อยู่ในใจ ซึ่งเป็น "ข้อสอบ" อีกข้อหนึ่งที่ใช้ "ประเมินผล" ดังนั้น ผู้ถูกสัมภาษณ์จึงต้องระวังตัวพอสมควร ก่อนที่จะเอ่ยแต่ละคำถาม อันเป็นขั้นตอนหนึ่งของการเตรียมตัวที่ดี และไม่ควรจะมองข้าม ดังนี้
โดยปกติแล้วหลังจาก การสอบสัมภาษณ์เสร็จแล้ว ผู้สัมภาษณ์จะถามว่า
 Do you have any questions?
 Well! is there anything further you would like to know? (คุณมีคำถามอะไรอีกไหม)
และเมื่อเป็นเช่นนี้ จะเป็นการดีมาก ถ้าหากว่าผู้สมัคร จะมีคำถามสัก 2-3 คำถาม เพื่อแสดงให้เห็นว่า ตัวผู้สมัครมีความสนใจในงานจริงๆ และต่อ
Close หน้าต่างนี้
Go Top